บทที่ 19 ผู้มีปราณธาตุมากกว่าหนึ่ง 1

หนิงอ้ายรู้สึกดีใจและพึงพอใจเป็นอย่างมากที่เขาสามารถทำการปลุกพลังวิญญาณได้สำเร็จและกลายเป็นผู้ฝึกตนราชทินนามก่อเกิดวิญญาณระดับสิบได้เช่นนี้ หลังจากที่จัดการตัวเองเรียบร้อยแล้วไม่รอช้าออกจากไปหามารดาที่ห้องโถงของเรือนนี้ในทันที

“หนิงเอ๋อร์ รู้สึกอย่างไรบ้างเจ้า?” เยว่ซินที่สัมผัสได้ถึงพลังลมปราณอ่อน ๆ จากตัวของเด็กหนุ่ม นั่นย่อมหมายความว่าในตอนนี้อีกฝ่ายสามารถข้ามผ่านเป็นผู้ฝึกตนได้สำเร็จแล้ว อย่างไรนางก็ถามกลับไปเพื่อความแน่ใจอีกครั้งว่าอีกฝ่ายไม่ได้รับผลกระทบใด

ยอมรับว่าตลอดทั้งคืนนางได้แต่เป็นห่วงกระวนกระวายจนนอนหลับไม่สนิท ในขณะที่หนิงอ้ายกำลังปลุกพลังวิญญาณนางได้ยินเสียงกรีดร้องของเด็กหนุ่มอย่างทรมานดังขึ้นอยู่หลายชั่วยามจนหายเงียบไปที่สุด ในใจของนางเต็มไปด้วยความเป็นห่วงยิ่งนัก แต่นางก็ไม่สามารถเข้าไปขัดขวางในขณะทำการปลุกพลังวิญญาณของเด็กหนุ่ม เพราะหากทำอย่างย่อมที่จะส่งผลเสียต่อเด็กหนุ่มมากมายเพียงใดก็สุดจะรู้ได้

บิดาของนางก็เคยบอกเอาไว้ว่าในการปลุกพลังวิญญาณจะสำเร็จหรือไม่ขึ้นอยู่กับลิขิตฟ้าชะตาสวรรค์ถือว่าเป็นการทดสอบทั้งร่างกายและจิตใจของผู้ฝึกตนเพราะเมื่อได้ทำการเลือกใช้ชีวิตตามวิถีผู้ฝึกตน หนทางข้างหน้าย่อมไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบนี่คือสัจธรรมของชีวิตที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

“ท่านแม่ไม่ต้องกังวลขอรับ...ตอนนี้ข้ารู้สึกว่าร่างกายแข็งแรงกว่าเดิมมาก” หนิงอ้ายตอบกลับมารดาไปเพื่อให้นางคลายกังวล

“ได้ยินแบบนี้มารดาก็สบายใจ...” เยว่ซินว่าพลางตักของโปรดให้หนิงอ้ายด้วยความเอาใจใส่และเด็กหนุ่มไม่ลืมตักอาหารบางส่วนให้แก่มารดาของตนได้ทานด้วยเช่นกัน แม้จะมีรวดเร็วแต่ยังคงเป็นไปด้วยกริยามารยาทอันงดงาม

หลังจากทุกอย่างเสร็จสิ้นทั้งสองจึงพากันเดินตรงไปยังศาลาริมสระบัว จากนั้นนางจึงให้หนิงอ้ายมายืนตรงหน้านางอีกครั้งเพื่อที่จะทำการตรวจสอบปราณธาตุให้เด็กหนุ่มเสียที

“ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นเจ้าอย่าได้ตกใจ...จากนั้นจงหลับตาลงแล้วค่อยปล่อยพลังวิญญาณของเจ้าออกมา...”

พรึบ!

วูบ!

วิญญาณยุทธ์บุปผาอัปสราเหมันต์อัคคี จงสถิตร่าง!!!

ตรงพื้นที่เยว่ซินยืนอยู่ปรากฏกลุ่มหมอกควันสีเหลืองเข้มเปล่งประกายงดงามผนึกขึ้นเป็นบุปผาเพลิงดอกใหญ่อยู่ตรงด้านหลังบ่งบอกว่านางเป็นผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิวิญญาณผู้หนึ่งที่ใกล้ทะลุเขตขั้นต่อไปแล้ว ขณะเดียวกันนางก็ได้ทำการยกแขนทั้งสองข้างขึ้นก่อนที่จะขยับไปมาคล้ายกับเป็นท่ารำที่ทั้งงดงามอ่อนช้อยแต่ก็ดุดันอยู่ในที กลิ่นไอพลังวิญญาณและปราณธาตุออกมาอย่างหนาแน่น เพียงอึดใจมือทั้งสองของนางได้แผ่พลังปราณบริสุทธิ์ยิ่งยวดไปโดยรอบ สร้างความตื่นตะลึงกับหนิงอ้ายเป็นอย่างมาก

“นี่คือวิญญาณยุทธ์ของมารดาเจ้า ‘บุปผาอัปสราเหมันต์อัคคี ’ หลังจากที่เจ้าถึงเขตขั้นที่สิบเอ็ดหรือราชทินนามขุนพลวิญญาณ ย่อมสามารถปลุกวิญญาณยุทธ์ของตนได้เช่นกัน...”

ทันใดนั้นพื้นด้านล่างของหนิงอ้ายก็ปรากฏเป็นวงแหวนเวทย์สีน้ำเงินเข้มที่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าเป็นละอองเรืองแสงลอยฟุ้งไปทั่ว ขณะเดียวกันวงเวทย์อักขระโบราณดังกล่าวได้วิ่งวนเป็นลักษณะวงกลมหมุนรอบตัว และเมื่อวงแหวนเวทย์อักขระโบราณได้หยุดนิ่งลง หนิงอ้ายรู้สึกได้ถึงขุมพลังบริสุทธิ์บางอย่างที่ถูกชักนำเข้าสู่ร่างกายโดยที่เขาไม่สามารถควบคุมได้ความรู้สึกอันอบอุ่นได้แทรกซึมราวกับว่าร่างกายนี้กำลังถูกห่อหุ้มด้วยแสงแดดยามเย็นที่ไม่ร้อนหรือไม่เย็นจนเกินไป แม้จะตกใจไปบ้างเล็กน้อยแต่ก็สัมผัสได้ว่าไม่มีอันตรายเกิดขึ้นกับตนแน่

ความรู้สึกเช่นนี้มันคืออันใดกัน? คล้ายกับว่าพลังวิญญาณในร่างกายกำลังถูกชักนำออกมาเสียอย่างนั้น...

หนิงอ้ายหลับตาลงเพื่อทำสมาธิเดินพลังปราณภายในปล่อยพลังดังกล่าวให้ลื่นไหลตามจุดชีพจรต่าง ๆ อย่างไม่ขัดข้องตามคำแนะนำมารดาของตน เนื่องจากพลังลมปราณในร่างกายของผู้ฝึกตนจะถูกกักเก็บและปลดปล่อยจากจุดเดียวกันที่เรียกว่าจุดตันเถียร วงแหวนเวทย์ดังกล่าวนี้ได้ชักนำพลังวิญญาณจากในร่างกายออกสู่ภายนอก

ในโลกของผู้ฝึกตนวิญญาณยุทธ์ได้ถูกแบ่งออกเป็นทั้งหมดสามประเภทนั่นคือ

วิญญาณยุทธ์ประเภทสัตว์อสูร

วิญญาณยุทธ์ประเภทธรรมชาติ

วิญญาณยุทธ์ประเภทศาสตราวุธ

นอกจากนั้นแล้วยังถูกแบ่งออกตามความโดดเด่นที่เรียกว่าสายวิญญาณยุทธ์ดังนี้

วิญญาณยุทธ์สายสนับสนุน

วิญญาณยุทธ์สายโจมตี

วิญญาณยุทธ์สายป้องกัน

วิญญาณยุทธ์สายควบคุม

และเเบ่งออกเป็นวิญญาณธาตุทั้งเก้าซึ่งจะมีการสืบทอดจากทางสายเลือดเท่านั้น สำหรับสีของวิญญาณยุทธ์จะบ่งบอกได้ถึงความเเข็งแกร่งของวิญญาณธาตุต้นกำเนิดที่ครอบครอง สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่สามารถผลักดันผู้ฝึกตนคนหนึ่งให้โดดเด่นอยู่แถวหน้าในโลกยุทธภพแห่งนี้ได้

"หนิงเอ๋อร์เจ้ามีพลังวิญญาณสมบูรณ์แต่กำเนิดเช่นนี้นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่ง! มีผู้ฝึกตนไม่น้อยที่แม้จะสามารถปลุกพลังวิญญาณได้สำเร็จ แต่หากไร้ซึ่งพลังวิญญาณแต่กำเนิดก็ไม่สามารถปลุกวิญญาณยุทธ์ได้"

"..."

"นอกจากนั้นความสมบูรณ์ของพลังวิญญาณจะเป็นตัวชี้วัดตัดสินความช้าเร็วในการเพิ่มระดับพลังวิญญาณในแต่ละเขตขั้น ยิ่งมีพลังวิญญาณที่สมบูรณ์มากเท่าไหร่ ความเร็วในการฝึกฝนตลอดเส้นทางของผู้ฝึกตนนี้ก็จะมากขึ้นตามไปด้วย"

"ระดับของพลังวิญญาณในทุก ๆ สิบขั้นย่อยจะมีสมญานามให้เรียกขานระดับแรกเริ่มคือก่อเกิดวิญญาณระดับหนึ่งและระดับสูงสุดคือระดับสิบ กับเจ้าที่มีพลังวิญญาณสมบูรณ์แต่กำเนิดเช่นนี้จึงทำให้หลังจากปลุกพลังวิญญาณสำเร็จจึงมีสมญานามเรียกขานว่าราชทินนามก่อเกิดวิญญาณระดับที่สิบนั่นเอง" เยว่ซินอธิบายออกมาให้หนิงอ้ายเข้าใจมากยิ่งขึ้น

"เอาละ หนิงเอ๋อร์ต่อไปมารดาจะทดสอบหาปราณธาตุต้นกำเนิดของเจ้ากัน..." เยว่ซินระบายยิ้มด้วยความพึงพอใจ บุตรชายของนางถึงกับมีพลังวิญญาณสมบูรณ์แต่กำเนิด นับได้ว่าเป็นเรื่องที่ดียิ่งนัก

บทก่อนหน้า
บทถัดไป